การออกแบบเมืองที่ตั้งรับและปรับตัวต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilient City)
คุณมองว่ากระบวนการออกแบบเมืองที่ตั้งรับและปรับตัวต่อวิกฤต สภาพภูมิอากาศควรเริ่มต้นอย่างไร? ใครบ้างที่ควรมีบทบาทสําคัญใน กระบวนการนี้ และทําไม?
การออกแบบเมืองที่ตั้งรับและปรับตัวต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilient City) เป็นกระบวนการที่
ต้องการความร่วมมือและการทำงานร่วมกันระหว่างหลายฝ่าย เพื่อให้เมืองสามารถรับมือกับผลกระทบจาก
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วม พายุ หรือคลื่นความร้อน และสามารถฟื้นฟูได้หลังจากเกิดวิกฤต การออกแบบเมืองดังกล่าวควรเริ่มต้นจากกระบวนการที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบและยั่งยืน โดยประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้:
1. การวิเคราะห์ความเสี่ยงและการประเมินผลกระทบ (Risk Assessment & Impact Evaluation)
การทำการประเมินความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศที่เมืองอาจเผชิญในอนาคต เช่น การประเมินความเสี่ยงจากน้ำท่วม พายุ หรือภัยแล้ง
2. การพัฒนาและออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น (Resilient Infrastructure Design) หลังจากประเมินความเสี่ยงแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรับมือกับภัยพิบัติและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ เช่น การออกแบบระบบระบายน้ำที่ดีขึ้น, การสร้างพื้นที่สีเขียวในเมือง,
3. การมีส่วนร่วมของชุมชนและการสร้างความตระหนักรู้ (Community Engagement & Awareness
Building) การมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) เป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบเมืองที่
ยืดหยุ่น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อทุกคนในเมืองและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะทำให้การตัดสินใจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับ
4. การพัฒนาแผนฟื้นฟูและการจัดการภัยพิบัติ (Disaster Recovery & Management Planning) เมื่อเกิดวิกฤตเมืองจะต้องมีแผนการฟื้นฟูที่สามารถตอบสนองได้ทันที เช่น การมีแผนการอพยพ การเตรียมความพร้อมในด้านการแพทย์ และการจัดหาทรัพยากรที่จำเป็นในการฟื้นฟู
ผู้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการออกแบบเมืองที่ปรับตัวได้
1.ท้องถิ่น
2.มหาวิทยาลัย
3.เอกชน
4.ประชาชน